เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๘ มี.ค. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ใจคนมันอยู่ที่ใจ ถ้าใจคนมันละเอียดขึ้นมา มันก็ละเอียดขึ้นมาได้ ถ้าใจคนมันหยาบ มันก็มองไม่ออก ไอ้การทำความสะอาด เห็นไหม สิ่งที่เป็นความสะอาด ความสะอาดจากภายนอก ความสะอาดจากภายใน ถ้าใจมันสะอาดขึ้นมามันก็มีความสุขขึ้นมา มีความสุขนะ ถ้าใจไม่สะอาด มันสะสม มันหมักหมมไว้

อย่างของเรานี่ เราหมุนเวียนใจกัน ใจเราจะหมุนเวียนขึ้นไป เอาของเก่าออก เอาของใหม่เข้ามา มันสะสม มันหมักหมม แล้วมันอึดอัดนะ มันถึงเพศ เห็นไหม เวลาเพศหญิง เพศชาย เพศของนักบวช นักบวชนี่ได้เพศมา เพศของนักบวช เพศหญิง เพศชายมันก็ยังมีความหมุนเวียนในหัวใจ หมุนเวียนอยู่อย่างนั้นน่ะ มันไม่มีทางออกไง

เพศของนักบวช สัมมาอาชีวะ เลี้ยงอาชีพด้วยการประพฤติปฏิบัติ เลี้ยงอาชีพด้วยการหมุนเวียน เอาความสะอาดของใจเข้ามาได้ ถ้าใจมันสะอาดขึ้นมา มันก็จะเป็นความสะอาดของใจขึ้นมา แต่ถ้ามันไม่เป็นความสะอาดของใจขึ้นมา เรามองขึ้นไป บางทีมันเป็นความรับผิดชอบ ความสะอาดของเรา เรามองแล้วมันจะเป็นความสวยงาม ความสวยงาม...ได้ เป็นความสวยงาม แต่ถ้าใจมันสะอาดขึ้นมา สิ่งต่างๆ มันก็ต้องสะอาดด้วย การแสดงออก เห็นไหม

แต่อันนี้มันไม่มีเวลา แล้วมันอยู่ที่การทำข้อวัตร เวลาทำข้อวัตรขึ้นมา เวลากวาดวัดขึ้นมา มันจะฟุ้งมาก มันจะฝุ่นมาก แล้วถ้าเช็ดกันทุกวันๆ มันเช็ดไม่จบไม่สิ้น มันติดขัดกันไปหมด ความติดขัดมันแบบว่าถ้ามันอยู่ในป่าในเขา มันไม่มี ความสะอาด ความสะดวกสบายของเขา เขาทำความสะอาดสะดวกสบายได้ แต่ข้อวัตรของเขานี่ฝากไว้กับคนอื่น

ข้อวัตรของเราฝากไว้กับตัวเองนะ วัตรปฏิบัติ เห็นไหม ข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เรากวาดจากภายนอกขึ้นมา ถ้าว่าใครมาก็ชมว่าวัดสะอาดๆ วัดสะอาดเกิดได้มาจากอะไร? ได้มาจากเหงื่อ เราต้องเสียเหงื่อไป เสียพลังงานออกไป นี่นวกรรม ทำนวกรรมแล้วอาบน้ำได้

สงฆ์สมัยพุทธกาลนะ อยู่ในอินเดียตอนกลาง ๑๕ วันอาบน้ำหนหนึ่ง เพราะว่าเคยไปอาบน้ำนะ อาบน้ำแล้วไปขวางทางของกษัตริย์เขา พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ให้อาบน้ำหนหนึ่ง เว้นไว้แต่ทำนวกรรม เวลาทำนวกรรม เวลามันทำความสะอาดทำต่างๆ มันจะมีเหงื่อมีไคล นี่อาบน้ำได้ แต่ในชนบทประเทศ ประเทศที่อยู่ห่างไกล ประเทศในแถบร้อนนี่อาบน้ำได้ตลอดเวลา พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ มันคนละชั้นคนละตอนเข้าไป

นี่มันอยู่ที่ว่าความเป็นไปของแต่ละสถานที่ กาลเทศะสมควรไม่สมควร ถ้าสมควรก็ทำให้ ถ้าไม่สมควรมันก็แล้วไป สิ่งที่สมควรและไม่สมควรอยู่ที่ความพอดีไง ความพอดี มัชฌิมาปฏิปทา ความเป็นกลาง กลางของใคร? กลางของเรา เราเห็นขนาดไหนเราก็เป็นไป แล้วมันวัดกันไม่ได้ด้วยวุฒิภาวะของใจ ใจละเอียด ใจหยาบ มันต่างกัน

เวลาเราเข้าไปในป่า ในป่ามีบริขาร ๘ เข้าไป เวลาทำวัตรสวดมนต์ในป่าใช้อะไร? ใช้ตา ใช้ตานี่เป็นเทียน ใช้นิ้วเป็นธูป เวลาเราทำข้อวัตรปฏิบัติ เอาความเป็นไปของเราแล้วน้อมเป็นสมมุติ แล้วกราบพระกราบสงฆ์ไป มันกราบถึงใจมากนะ

เวลาเราอยู่ในที่ชุมชน เรามีสิ่งที่พึ่งพาอาศัยกัน เราคิดว่าจะอาศัยกันได้ เราพึ่งพาอาศัยกัน เรามีความนอนใจ เวลาเราธุดงค์เข้าไปในป่าอยู่คนเดียว มันเงียบมันสงัด มันกลัวนะ กลัวสิ่งต่างๆ กลัวไปหมดเลย กลัวทุกอย่าง แล้วพอกลัวมันก็หาที่พึ่ง พอหาที่พึ่งขึ้นมา มันจะกราบไหว้พระด้วยความซึ้งใจ ธุดงควัตร ธุดงค์เข้าไปในป่าไป ธุดงค์เพื่อจะหาใจของตัวเอง

เราอยู่ในชุมชน เราหาใจของตัวเราเองไม่เจอ เพราะว่าเรามีความหวังพึ่งพาอาศัย หวังพึ่งคนโน้น หวังพึ่งคนนี้ หวังพึ่งสิ่งต่างๆ แล้วก็ไม่เห็นเรื่องของใจ เพราะใจมันละเอียดอ่อนมาก มันอยู่ในร่างกายของเรา แต่เราหาใจเราไม่เจอ

เพราะว่ามันหวังว่าให้มันมีที่พึ่งที่อาศัย มันนอนใจไง ความนอนใจ ความอุ่นใจว่ามีที่พึ่งที่อาศัย มันก็ไม่กลัว มันหาที่พึ่งไป แต่เวลาเข้าป่าขึ้นไป มันจะพึ่งอะไรก็ไม่ได้ มันมีแต่สัตว์ป่า มีแต่ต้นไม้ มีแต่ภูเขา มันพึ่งสิ่งใดไม่ได้เลย ต้องพึ่งตนเอง พอพึ่งตนเองมันก็เข้ามาหาตัวเอง ตัวเองพึ่งตัวเองได้ไหม ถ้าพึ่งตัวเองไม่ได้ ตัวเองมันก็เหลวไหล มันก็ต้องพยายามทำความสงบของใจขึ้นมา

การทำความความสงบของใจ การประพฤติปฏิบัติมันได้ผล ได้ผลตรงนี้ไง ตรงที่ว่าพึ่งใครก็ไม่ได้ เราต้องพึ่งตัวเราเอง ถ้าพึ่งตัวเราเอง เราก็ต้องพยายามแสวงหาที่พึ่งของเราให้ได้ ถ้าหาที่พึ่งของเราได้ ต้องทำความสงบของใจ ใจสงบขึ้นมาได้หรือไม่ได้มันจะพึ่งตัวเองขึ้นมา

เพศของเรานะ นางวิสาขาไม่ใช่เป็นพระแต่ก็เป็นพระโสดาบันขึ้นมา นี่เพศของเรา เพศของใจ ใจเป็นผู้หญิง ใจเป็นผู้ชาย เราเป็นผู้หญิงเป็นผู้ชายเราถึงเป็น แต่เพศนักบวช เห็นไหม เพศของเราถ้าเราเป็นขึ้นมา เราเป็นพระอริยบุคคลขึ้นมา ไม่มีหญิงไม่มีชาย สมาธิไม่มีหญิงไม่มีชาย ไม่แบ่งแยกเป็นผู้หญิง เป็นสมาธิของผู้หญิง สมาธิของผู้ชายก็ไม่มี เวลามันสงบขึ้นมาเป็นกลางทั้งหมดเลย จิตสงบแล้วเป็นกลางทั้งหมด

ถึงบริสุทธิ์แล้ว สิ้นสุดแล้ว ยิ่งเป็นความสิ้นสุดของใจ ใจหมดห่วง หมดความกังวล มันเป็นความสุขใจมากนะ ใจเรามีห่วง มีความกังวล มันมีความทุกข์ใจ ทุกข์เพราะว่าอะไร เพราะความหวัง หวังแล้วไม่สมความปรารถนา มีแต่ความหวังตลอดไป หวังแล้วมีแต่ความทุกข์ มีความหวังมีความห่วงใยอาลัยอาวรณ์ มันทำสิ่งใดให้เป็นประโยชน์ไม่ได้

แต่ถ้าใจเราหมดห่วงหมดอาลัยแล้ว มันไม่มีเป้าหมายไง จะทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ไปทำไว้ที่ไหนเพราะใจมันถึงที่สุดแห่งทุกข์ มันรู้ของมัน เป็นปัจจัตตัง รู้ในหัวใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะรู้เลยว่าใจของเราสิ้นสุดแล้ว ใจของเรามันสิ้นกระบวนการ มันไปต่อไม่ได้ มันจบสิ้นกระบวนการนี้ มันอยู่รอเท่านั้นเอง รอเวลาที่มันจะดับขันธ์ไปไง รอเสวยที่ว่ามันเป็นปัจจุบันนี้ มันต้องแบกรับธาตุขันธ์ แบกรับอารมณ์ แบกรับความรู้สึกของเราเองที่มันเกิดขึ้นมา มันเป็นจริตนิสัยของแต่ละบุคคล

พระอรหันต์ถึงว่าเวลาคุยกัน อยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคลว่าชอบสิ่งใด แต่ความบริสุทธิ์ของใจ ความหวังที่จะสิ้นจากทุกข์ไม่มี นั่นน่ะ พระอรหันต์ต้องแบกรับภาระสิ่งนั้น รอวันเวลาว่าจะทิ้งธาตุทิ้งขันธ์ไปแล้วสิ้นใจ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์นี้เป็นภาระอย่างยิ่ง ความทุกข์ความยาก ธาตุนี้เป็นภาระอย่างยิ่ง มันต้องแปรสภาพไปธรรมดาของมัน

สิ่งนี้เกิดขึ้นเหมือนดอกไม้ เวลามันงอกงามออกมาแล้วมันต้องร่วงโรยไปโดยธรรมชาติของมัน ดอกไม้ต้องเป็นไป ร่างกายของเราก็เหมือนกัน เราได้มาเพราะบุญกุศลเราสร้างสมขึ้นมา ได้ร่างกายมาแล้วมีความรู้สึก มีขันธ์ ๕ นี่มันควบคุมใจไว้ เราถึงต้องทำพยายามวิปัสสนาเพื่อย้อนกลับเข้ามาให้เห็นความเป็นจริงของมัน เห็นสัจจะความจริงของมัน ให้ใจนั้นหลุดพ้นออกไป หลุดพ้นจากดอกไม้ ดอกไม้มันต้องแปรสภาพไป ร่างกายนี้ต้องแปรสภาพไป ต้องทิ้งภาระมันไปโดยธรรมชาติของมัน นี่ภาระแบก แบกอย่างนั้น ถึงว่าใจสิ้นสุดแล้วมันเป็นความสุข แล้วมันไม่เป็นภาระ เป็นความหวัง

ของเรานี่มีความหวัง มีความต้องการ เรามีความหวังความต้องการเราก็พยายามทำให้สมหวัง แต่ถ้าเราสมหวังขึ้นมา มันต้องละเอียดอ่อนเข้ามา ละเอียดอ่อนเข้ามาคือว่าสมหวัง ทำความข้างนอกสมหวัง ถ้าไม่สมหวังแล้วมันก็ต้องวางไว้ว่าสิ่งนี้มันไม่สมหวัง มันเป็นเรื่องของโลกเขา โลกเขาเป็นอย่างนี้ มีความเจริญ มีความงอกงาม แล้วมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เราอยู่กับเขาไปอย่างนั้นนะ เรารู้จักเขาขึ้นมา สิ่งนั้นเป็นที่พึ่งไม่ได้ เป็นสิ่งที่อาศัย เราก็อาศัยเขาเป็นชั่วครั้งชั่วคราว

เราอาศัยเขาเป็นชั่วครั้งชั่วคราวขึ้นไปเพื่อให้ร่างกายนี้อาศัยกันไปได้ แต่หัวใจที่มันเกาะเกี่ยวสิ่งนั้น เราย้อนกลับมาดู สิ่งนี้ถ้าพึ่งพาอาศัยไม่ได้ เราก็วางไว้ เราต้องหาสิ่งที่พึ่งพาอาศัยของเราได้จริง

โลกมันจะเป็นโลกไป ความเป็นไปของโลกนะ ใจของแต่ละบุคคลมันหยาบมันละเอียดมันอยู่ที่โลก อยู่ที่ความเห็นของคนไม่เหมือนกัน เราทำบุญกุศล บางคนก็ว่าดีงาม บางคนก็ว่ามันเป็นการเสียเวลา บางคนก็ว่าเวลาของเรา ชีวิตของเราก็สั้นแล้ว ทำไมต้องเสียเวลาอย่างอื่น เห็นไหม การทำทานของคน โลกเขามองต่างกัน

ลองความเป็นประโยชน์ของโลก ประโยชน์ของโลกเขาก็มองไปอย่างนั้น ประโยชน์ของธรรม เราเห็นว่าเราสละได้ เราทำของเราได้เพื่อประโยชน์ของเรา การกระทำนะ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำทุกอย่าง การกระทำต้องมีผลทั้งหมด นี่เราทำทานขึ้นมา หรือว่าเรารักษาศีลขึ้นมา ทำสมาธิขึ้นมาแล้วมีปัญญาขึ้นมา ใจของมัน มันจะพ้นออกไป จะพ้นจากกิเลส จะค้นหาตัวเองเจอ

เวลาเราเห็นกัน เราหวังที่พึ่งกัน หาความสุขกัน เราหาความสุขไม่ได้ เราพึ่งไม่ได้ เพราะเราไม่มีที่พึ่งตามความเป็นจริง เราพึ่งแต่เรื่องสิ่งที่เป็นปัจจัยเครื่องอยู่อาศัย ปัจจัยเป็นเหตุ เห็นไหม ถ้าสิ่งที่เป็นสมบัติของเรา เราทำคุณงามความดี สมบัตินี้เราใช้เป็นประโยชน์ อย่างเช่นทำทาน มันเป็นประโยชน์กับเรามหาศาลเลย แต่ถ้าทำไม่ดี เห็นไหม เล่นการพนัน เล่นสิ่งต่างๆ ทำให้เสียคน เสียทั้งทรัพย์สมบัติด้วย เสียทั้งจริตนิสัยด้วย เคยทำแล้วเคยได้เคยเสียมากับใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะได้จะเสียอย่างนั้นออกไป ทำให้ใจดวงนี้รั่ว

ใจเรานี่เราต้องปิดขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญาเพื่อปิดใจขึ้นมา เพื่อประกอบใจขึ้นมาให้ใจขึ้นมาเป็นสมบัติของเรา เราทำให้มันรั่วมันไหลออกไป มันรั่วมันไหลไปเพราะมันเป็นไปตามธรรมชาติของมัน แล้วมันไม่ฝึกฝนใจของมัน สมบัติที่ควรจะเป็นประโยชน์มันกลับเป็นโทษกับใจดวงที่ไม่เข้าใจ

ถ้าสมบัติที่เป็นประโยชน์กับเรา เราทำเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา ทำประโยชน์ สละทานออกไป เป็นทานของเราขึ้นมา ทานนั้นก็เป็นทาน ทานจากข้างนอกแล้วทานจากข้างใน ทานอารมณ์ ทานความรู้สึก ทานเรื่องกิเลสของใจ ทานออกไปให้ได้ มันทานไม่ได้เพราะเราไม่เห็นโทษของมัน ถ้าเราเห็นโทษของมัน เราจับสิ่งที่เป็นโทษ คือจับสิ่งที่เป็นไฟ เรารู้ว่าเป็นไฟ มันร้อน เราทิ้งไป แต่นี่มันก็เป็นไฟ ไฟคือกิเลส ไฟคือตัณหา ไฟคือราคะตัณหาความทะยานอยาก แต่เราจับของเราไม่ได้ เราไม่รู้นี่ เราคิดว่าอันนี้เป็นคุณ คิดว่าเป็นคุณเพราะกิเลสมันเข้ากับ เรื่องของกิเลสเรื่องของใจ อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา มันเข้ากันได้ มันเข้ากับความเป็นไปของใจ มันไม่เห็นเป็นความร้อนไง

ไฟนี่เราจับแล้วมันร้อน เราทิ้งได้ แต่สิ่งนี้มันไม่ร้อน มันเป็นความพอใจของใจ ความพอใจเพราะใจดวงนั้นมันยังไม่เข้าถึงความละเอียด ถ้าใจดวงนั้นเข้าถึงความละเอียด มันจะเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นความกวนใจ ถ้าจิตสงบเข้ามามีความสุขมีความพอใจของเราเข้ามา มันอยู่ได้ด้วยความสงบ แต่สิ่งนี้มันต้องการแสวงหา สิ่งที่แสวงหานี้ก็เป็นโทษแล้ว เราพยายามกวนใจของเราให้มันขุ่นมัวออกมา ให้แสวงออกไปข้างนอก ยุ่งออกไปข้างนอก มันเป็นการแสวงหาออกไป มันเป็นโทษของมัน เริ่มแต่ความขยับแล้ว แล้วเราไปแสวงหาสิ่งนั้นขึ้นมาแล้ว มันสมประโยชน์ไม่สมประโยชน์ มันก็เป็นโทษอีก

การครองใจของเราก็ครองยากอยู่แล้ว ยังออกไปครองเรือนอีก เห็นไหม คนมีลูกมีเต้าขึ้นมา ครองใจสามีภรรยาดวงหนึ่ง ครองใจลูกครองใจหลาน เห็นไหม กว่าจะครองใจได้ต้องพยายามฝึกฝนขึ้นมา มันจะไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ เด็กนี่ไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ เลย เราต้องพูดให้ปรับความเข้าใจของเรา เราจะให้เขาเข้าใจนี่ต้องเออออไปกับเขานะ เหมือนเด็ก คุยกับเด็กต้องเป็นเด็ก เห็นไหม เราจะคุยกับเด็กต้องเป็นเด็ก ต้องปรับความรู้ให้เป็นเด็ก ต้องเออออไปกับเด็กให้เด็กเข้าใจ

นี่ก็เหมือนกัน การครองใจการครองเรือนมันมีความทุกข์ยากมาก พระพุทธเจ้าถึงว่า เพศคฤหัสถ์ เพศหญิง เพศชาย ถึงเพศนักบวชออกมาเป็นผู้ที่เนกขัมมบารมี นี่บารมี ๑๐ ทัศ ก่อนจะถึงที่สุดได้มันต้องมีเนกขัมมบารมี สละออกมา สละสิ่งต่างๆ ออกมา สละตั้งแต่ทีแรกออกมาแล้วสละออกไป สละถึงที่สุดแล้วสละเรื่องกิเลส สละออกทุกอย่างทั้งหมดเลย ใจมันก็สะอาดขึ้นมา

ความสะอาดแล้วแต่การจะพลิกแพลง เราพลิกแพลงใช้เป็นประโยชน์ขึ้นมามันก็เป็นประโยชน์แต่ละชั้นแต่ละตอนขึ้นมา อย่างเรื่องความสกปรกความสะอาดจากภายนอกมันก็เป็นความสกปรกความสะอาดจากภายนอก ความสกปรกความสะอาดจากภายในก็เป็นภายใน แล้วความภายใน จิตสงบขึ้นมาแล้วบางคนหลงได้นะ พอจิตสงบขึ้นมามันเวิ้งว้าง มันว่าง ว่าสะอาดหมดแล้ว ว่าเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา มันเป็นไปได้ ทั้งๆ ที่กิเลสมันละเอียด

เหมือนเชื้อโรค เชื้อโรคไม่มีตัวตน ต้องส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ถึงมองเห็น กิเลสก็เหมือนกัน เราไม่สามารถเห็นว่าเป็นกิเลสของเรา เราไม่เข้าใจหรอก เราจะเห็นไม่ได้ ถ้าเราไม่มีวิปัสสนาขึ้นไป วิปัสสนาคือว่ามันเห็นความเป็น...กิเลสคือความยึดมั่นถือมั่น กิเลสคือความอนิจจัง กิเลสคือความไม่แน่นอน สิ่งที่ไม่แน่นอนที่มันเปลี่ยนแปรสภาพคือกิเลสทั้งหมดเลย สิ่งที่เป็นกิเลส เห็นไหม พอเข้ากับกิเลส เข้ากับใจ อาการของใจ อารมณ์เกิดขึ้นเกิดดับๆ นั่นก็ไม่แน่นอน เรื่องของสภาวะร่างกายก็ไม่แน่นอน

สิ่งที่ไม่แน่นอน วิปัสสนาความไม่แน่นอน แล้วสิ่งที่เป็นแน่นอนคืออะไร? คือสภาวธรรม คือสภาวะใจที่มันปล่อยวางสิ่งต่างๆ ทั้งหมด มันถึงแน่นอน แน่นอนเพราะว่าเหมือนกับที่จิตของพระอรหันต์ที่สิ้นแล้ว เห็นไหม มีอยู่แต่ไม่ใช่ธาตุขันธ์ สิ่งที่เป็นธาตุขันธ์เป็นอนิจจังหมุนเวียนไปตลอดไป

สิ่งที่แน่นอน เห็นสภาวะความแน่นอน เห็นสภาวะความพลิกแพลงของใจ เห็นสภาวะความพลิกแพลงของร่างกาย ร่างกายต้องเป็นอนิจจังไป สิ่งที่เป็นอนิจจัง อ๋อ! นี่มันไม่ใช่ที่พึ่ง ไอ้นี่มันอาศัยกันไม่ได้ มันของชั่วคราว พอใจมันรู้มันจะปล่อยๆ ปล่อยขึ้นมามันก็เป็นของจริง พอของจริงมันก็พึ่งของจริง

สิ่งที่เป็นความจริง มีอยู่แต่มันเป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นวัตถุ สิ่งที่เป็นที่พึ่งอาศัย มันไม่เป็นสิ่งที่พึ่งได้เลย มันเป็นสิ่งที่แปรปรวนตลอดเลย แต่ความเป็นจริงคือตัวใจต่างหากที่เป็นจริง จริงแล้วจริงตลอดไป จริงเพราะมันสละความยึดมั่นถือมั่นของมัน สละความอาศัยของมัน แล้วมันปล่อยวางสิ่งนั้นขึ้นมาเป็นประโยชน์กับมันขึ้นมา

นั่นน่ะเป็นความจริง สะอาดอย่างนี้ สะอาดจากความปล่อยวางจากสิ่งที่เป็นอนิจจังทั้งหมด นี่สภาวะนะ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เป็นอนิจจังต้องปล่อยสิ่งนั้นทั้งหมด ปล่อยทั้งความคิดความเห็นของตัวเอง ปล่อยทั้งหมดเลย แล้วเป็นความสะอาดของใจ ใจสะอาดขึ้นมา จากบุญกุศลนะ สร้างบุญกุศลจากภายนอกแล้วต้องสร้างบุญกุศลจากภายใน บุญกุศลของเราพ้นจากกิเลสได้ เอวัง